Sunday, September 18, 2022

คลิปเสียงสวดมาติกา

 


5.คลิปเสียงสวดมาติกา

https://youtu.be/tktb6Wk5HPM

บังสุกุล(ตาย) ความหมาย คำแปลทั้งโดยอรรถและโดยยกศัพท์

 


4.บังสุกุล(ตาย) ความหมาย คำแปลทั้งโดยอรรถและโดยยกศัพท์

4.1 ความหมายบังสุกุล

ในภาษาไทยปัจจุบัน บังสุกุล มักใช้เป็นคำกริยา หมายถึง การที่พระสงฆ์ชักเอาผ้าซึ่งเขาวางพาดไวดที่ศพที่หีบศพ หรือที่สายโยงศพ โดยกล่าวข้อความที่เรียกว่า คำพิจารณาผ้าบังสุกุล (บังสุกุลตาย)

อะนิจจา วะตะ สังขารา........ อุปปาทะวะยะธัมมิโน

อุปปัชฌิตะวา นิรุชฌันติ .......เตสัง วูปะสะโม สุโข.


4.2 คำแปลคำพิจารณาผ้าบังสุกุล(ตาย)

แปลโดยอรรถ

อะนิจจา วะตะ สังขารา

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

อุปปาทะวะยะธัมมิโน

มีอันเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปเป็นธรรมดา

อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ

เกิดขึ้นแล้วดับไป

เตสัง วูปะสะโม สุโข

ความเข้าไประงับสังขารทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสุข.

แปลโดยยกศัพท์

อะนิจจา ตะ สังขารา

สังขารา อันว่าสังขารทั้งหลาย อะนิจจา วะตะ เป็นสิ่งไม่เที่ยงหนอ

อุปปาทะวะยะธัมมิโน (อุปปาทะ+ วย + ธัมมิโน) มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา หุตฺวา เป็น

อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ

อุปปัชฌิตวา เกิดขึ้นแล้ว นิรุชฌันติ ย่อมดับไป

เตสัง วูปะสะโม สุโข

เตสัง วูปะสะโม (เตสัง วะ อุปะสะโม) อุปสะโม  อันว่าความเข้าไประงับ เตสัง วะ สังขารานัง แห่งสังขารทั้งหลายนั่นเทียว  (ระงับ,ดับด้วยการบรรลุพระนิพพาน ไม่ใช่ระงับ, ดับด้วยการตาย) สุโข เป็นสุข โหติ ย่อมเป็น.

แปลโดยยกศัพท์ บทสวดธัมมะสังคิณีมาติกา

 คำแปลโดยยกศัพท์ บทสวดธัมมะสังคิณีมาติกา


3.2 แปลโดยยกศัพท์

(ติกมาติกา 22 ติกะ)

1.กุสลติกะ

กุสะลา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย กุสะลา เป็นธรรมเป็นกุศล สันติ มีอยู่,

อะกุสะลา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อกุสะลา เป็นธรรมเป็นอุกศ สันติ มีอยู่,

อัพยากะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัพยากะตา เป็นธรรมเป็นอัตยากฤต สันติ มีอยู่ .

2.เวทนาติกะ

สุขายะ เวทะนายะ,สัมปะยุตตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย สุขายะ เวทันายะ สัมปะยุตตา เป็นธรรมอันสัมปยุตด้วยเวทนาอันเป็นสุข สันติ มีอยู่

ทุกขายะ เวทะนายะ,สัมปะยุตตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ทุกขายะ เวทะนายะ,สัมปะยุตตา  เป็นธรรมอันปยุติด้วยเวทนาอันเป็นทุกข์ สันติ มีอยู่

อะทุกขะมะสุขาย เวทะนาย,สัมปะยุตตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะทุกขะมะสุขาย เวทะนาย,สัมปะยุตตา  เป็นธรรมอันสัมปยุต ด้วยเวทนาอันไม่สุขและอันไม่ทุกข์ สันติ มีอยู่ .

3.วิปากะติกะ

วิปากา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย วิปากา เป็นธรรมเป็นวิบาก สันติ มีอยู่.

วิปากะธัมมะธัมมา

วิปากะธัมมะธัมมา อันว่าธรรมอันเป็นเหตุแห่งวิบากทั้งหลาย สันติ มีอยู่ 

เนวะวิปากะมะวิปากะธัมมะธัมมา

เนวะวิปากะมะวิปากะธัมมะธัมมา อันว่าธรรมอันไม่เป็นวิบากและอันไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก สันติ มีอยู่.

4.อุปาทินนุปาทานิยติกะ

อุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อุปาทินนุปาทานิยา อันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครองและเป็นอารามณ์ของอุปาทาน สันติ มีอยู่

อะนุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนุปาทินนุปาทานิยา  อันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง (แต่)เป็นอารมณ์ของอุปาทาน สันติ มีอยู่

อะนุปาทินนานุปาทานิยา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนุปาทินนานุปาทานิยา อันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง และไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน สันติ มีอยู่

5.สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกะติกะ

สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา เป็นธรรมเศร้าหมองเป็นอารมณ์ของสังกิเลส สันติ มีอยู่

อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา อันเป็นธรรมไม่เศร้าหมอง(แต่)เป็นอารมณ์ของสังกิเลส สันติ มีอยู่.

อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรมทั้งหลาย เป็นธรรมไม่เศร้าหมอองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส สันติ มีอยู่

6.วิตักกะติกะ

สะวิตักกะวิจารา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย สะวิตักกะวิจารา เป็นธรรมมีวิตกและมีวิจาร สันติ มีอยู่

อะวิตักกะวิจาระมัตตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะวิตักกะวิจาระมัตตา เป็นธรรมไม่มีวิตก(แต่)มีวิจาร สันติ มีอยู่

อะวิตักกาวิจารา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะวิตักกาวิจารา เป็นธรรมไม่มีวิตกและไม่มีวิจาร สันติ มีอยู่

 

7.ปีติติกะ

ปีติสะหะคะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ปีติสะหะคะตา เป็นธรรมสหรคตด้วยปีติ  สันติ มีอยู่.

สุขะสะหะคะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย เป็นธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา สันติ มีอยู่

อุเปกขาสะหะคะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อุเปกขาสะหะคะตา เป็นธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา สันติ มีอยู่

8.ทัสสะนะติกะ

ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพา เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ สันติ มีอยู่

ภาวนาย ปะหาตัพพา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ภาวนาย ปะหาตัพพา เป็นธรรมอันมรรคเบื้องสูง 3 ประหาณ สันติ มีอยู่

เนวะ ทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา.

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย เป็นธรรมอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง 3 ไม่ประหาณ สันติ มีอยู่

9.ทัสสนเหตุกติกะ

ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณ สันติ มีอยู่.

ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง 3 ประหาณ สันติ มีอยู่.

เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา.

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา เป็นธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง 3 ไม่ประหาณ สันติ มีอยู่

10.อาจยคามิติกะ

อาจะยะคามิโน ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อาจะยะคามิโน เป็นธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ สันติ มีอยู่

อะปะจะยะคามิโน ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะปะจะยะคามิโน เป็นธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน สันติ มีอยู่

เนวาจะยะคามิโน นาปาจะยะคามิโน  ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย  เนวาจะยะคามิโน นาปาจะยะคามิโน  เป็นธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน สันติ มีอยู่

11.เสกขติกะ

เสกขา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย  เสกขา เป็นธรรมเป็นของเสกขบุคล สันติ มีอยู่

อะเสกขา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย  อะเสกขา เป็นธรรมเป็นของอเสกขบุคคล สันติ มีอยู่.

เนวะเสกขา นาเสกขา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย เนวะเสกขา นาเสกขา เป็นธรรมไม่เป็นของเสกขบุคลลแลละไม่เป็นของอเสกขบุคคล สันติ มีอยู่

12.ปริตตติกะ

ปะริตตา ธัมมา,

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ปะริตตา เป็นธรรมเป็นปริตตะ สันติ มีอยู่

มะหัคคะตา ธัมมา,

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มะหัคคะตา เป็นธรรมเป็นมหัคคตะ สันติ มีอยู่

เนวะเสกขา นาเสกขา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย เนวะเสกขา นาเสกขา เป็นธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคลและไม่เป็นของอเสกขบุคคล สันติ มีอยู่

13.ปริตตารัมมณติกะ

ปะริตตารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ปะริตตารัมมณา เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ สันติ มีอยู่.

มหัคคะตารัมมะณา ธัมมาม

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มหัคคะตารัมมะณา เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ สันติ มีอยู่.

อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัปปะมาณารัมมะณา เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะสันติ มีอยู่.

14.หีนะติกะ

หีนา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย หีนา เป็นธรรมอันทราม สันติ มีอยู่.

มัชฌิมา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มัชฌิมา เป็นธรรมอันปานกลาง สันติ มีอยู่

ปะณีตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ปะณีตา เป็นธรรมอันประณีต. สันติ มีอยู่.

15.มิจฉัตตติกะ

มิจฉัตตตะนิยะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มิจฉัตตตะนิยะตา เป็นธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน สันติ มีอยู่.

สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย สัมมัตตะนิยะตา เป็นธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน สันติ มีอยู่

อะนิยะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนิยะตา เป็นธรรมให้ผลไม่แน่นอน สันติ มีอยู่.

16.มัคคารัมมณติกะ

มัคคารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มัคคารัมมณา เป็นธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์ สันติ มีอยู่

มัคคะเหตุกา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มัคคะเหตุกา เป็นธรรมมีเหตุคือมรรค สันติ มีอยู่

มัคคาธิปะติโน ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย มัคคาธิปะติโน เป็นธรรมมีมรรคเป็นอธิบดี สันติ มีอยู่

17.อุปปันนะติกะ

อุปปันนา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อุปปันนา เป็นธรรมอันเกิดขึ้นแล้ว สันติ มีอยู่

อะนุปปันนา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนุปปันนา เป็นธรรมอันยังไม่เกิดขึ้น  สันติ มีอยู่

อุปปาทิโน ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อุปปาทิโน เป็นธรรมอันจักเกิดขึ้น สันติ มีอยู่

18.อตีตติกะ

อะตีตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะตีตา เป็นธรรมอันเป็นอดีต สันติ มีอยู่.

อะนาคะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนาคะตา เป็นธรรมเป็นอนาคต สันติ มีอยู่

ปัจจุปปันนา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ปัจจุปปันนา เป็นธรรมอันเป็นปัจจุบัน สันติ มีอยู่.

19.อตีตารัมมณติกะ

อะตีตารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะตีตารัมมณา เป็นธรรมอันมีอารมณ์เป็นอดีต สันติ มีอยู่.

อะนาคะตารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนาคะตารัมมณา เป็นธรรมอันมีอารมณ์เป็นอนาคต สันติ มีอยู่.

ปัจจุปปันนารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย ปัจจุปปันนารัมมณา เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน สันติ มีอยู่.

20.อัชฌัตตติกะ

อัชฌัตตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัชฌัตตา เป็นธรรมเป็นภายใน สันติ มีอยู่.

พะหิทธา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย พะหิทธา เป็นธรรมเป็นภายนอก สันติ มีอยู่.

อัชฌัตตะพะหิทธา  ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัชฌัตตะพะหิทธา   เป็นธรรมเป็นทั้งภายในและภายนอก สันติ มีอยู่.

21.อัชฌัตตารัมมณติกะ

อัชฌัตตารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัชฌัตตารัมมณา มีธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน สันติ มีอยู่.

พะหิทธารัมมณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย พะหิทธารัมมณา มีธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก สันติ มีอยู่.

อัชฌัตตะพะหิทธารัมมะณา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัชฌัตตะพะหิทธารัมมะณา เป็นธรรมมีอารมณ์เป็นภายในและเป็นภายนอก สันติ มีอยู่.

22.สะนิทัสสติกะ

สะนิทัสสะนัปปะฏิฆา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย สะนิทัสสะนัปปะฏิฆา เป็นธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ สันติ มีอยู่.

อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา เป็นธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ สันติ มีอยู่.

อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา เป็นธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ สันติ มีอยู่.